พระราชบัญญัติงาช้าง พ.ศ. ๒๕๕๘
เพื่อให้เป็นไปตามกฏหมายดังกล่าว สมาชิกทุกท่านต้องอ่านทำความเข้าใจและปฏิบัติตามอย่างเคร่งคัด
เข้าสู่ระบบ
หน้าแรก
เก้าสิบเก้าวัด
ร้านพระเครื่อง
กระดานสนทนา
สมัครสมาชิก
ติดต่อทีมงาน
ค้นหาข้อมูล
เข้าสู่ระบบ
ตะโพน(กระดูกกลึ...
ตะโพน(กระดูกกลึงนิยม) หลวงพ่อภักตร์ วัดโบสถ์ อ่าวทอง
ตะโพน(กระดูกกลึงนิยม) หลวงพ่อภักตร์ วัดโบสถ์ อ่าวทอง
ตัวจริงเสียงจริง รับประกันความแท้ สุดยอดเมตตามหานิยมครับ ใช้เองมาแล้วสุดยอดจริงๆ เลยกล้าพูดได้เต็มปาก ขุนแผนบ้านกร่างที่ว่าแน่ๆยังต้องยอมครับ ลองเอาไปใช้ดูแล้วจะไม่ผิดหวังคครับ(แท้เอาหัวเป็นประกันครับ รับประกันความแท้ยินดีคืนเงินเต็มถ้าเก๊ครับ)
ลูกนี้เป็นงานกลึงนะครับหายากสุดๆในจำนวนตะโพนของลูกพ่อภักตร์ทั้งหมดครับ เพราะมีขนาดมาตรฐานและจำนวนน้อยมากและเก่าจริงๆ แต่หายากเลยไม่ค่อยเจอกันครับ ยิ่งถ้าเป็นงากลึงราคาไปไกลเลยครับ ถ้าน้ำไม่ท่วมไม่มีทางหลุดออกมาให้เห็นแน่ๆครับ คนพื้นที่หวงกันสุดๆครับ ตะโพน หลวงพ่อภักตร์ นับเป็นเครื่องรางที่ถือได้ว่าสุดยอด ด้านเมตตา มหานิยม =>>
สมัยหลวงพ่อยังไม่มรณะภาพ มีคณะลิเกไปเล่นที่วัด แล้วไม่มีคนดู หลวงพ่อสงสารเลยได้ลงอักขระไว้ที่กลองตะโพนคณะลิเกคณะ นั้นได้กลายเป็นคณะลิเกโด่งดังถึงทุกวันนี้ ถือว่าเป็นเครื่องรางที่ชาวอ่างทอง เสาะหากันมากแต่หายากเหลือเกินครับ
// (ข้อมูลที่เกี่ยวข้อง) ตะโพนนี่เป็นเครื่องดนตรีเอก จะขึ้นก่อนเครื่องดนตรีชนิดอื่น แม้จะเล็กกว่าเขาก็ตาม แต่เสียงและจังหวะดังเร่งเร้ากระตุ้นจิตใจให้คนสนใจให้คนดู
// เป็นเคล็ดอย่างหนึ่ง...ว่าดังเป็นหนึ่ง เป็นเมตตามหานิยม ดนตรีเองก็เป็นเมตตามหานิยมอยู่แล้ว มากกว่าทุกศาสตร์อีก เพราะฟังได้ทุกชาติ ศาสนา // หลวงพ่อพักตร์วัดโบถส์ เคยทำไว้ เป็นงา เขากวาง กระดูก ขนาดติดตัว หายากมากๆ ราคาแพง // พวกนักการเมือง ผู้ใหญ่แถวอ่างทอง วิเศษ จะมีตะโพนหลวงพ่อภักตร์ติดตัวแทบทั้งสิ้น
// เรื่องตะโพนของหลวงพ่อพักตร์ วัดโบสถ์ ท่านนั้นเป็นพระเกจิอาจารย์ร่วมสมัยเดียวกับหลวงพ่อนุ่ม วัดนางใน และหลวงพ่อชวน วัดยางมณี // ท่านเป็นพระที่ทรงอภิญญาจิตชั้นสูง เรียบง่ายและสมถะ วิชาเด็ดของท่านนอกจากเบี้ยแก้ที่มีพุทธคุณสูงเป็นที่ประจักษ์มานานแล้ว ยังมีอีกวิชาหนึ่งที่เรียกว่าโด่งดังไม่แพ้เบี้ยแก้ของท่านก็คือ "ตะโพน" บางทีก็เรียกว่า "กลองตะโพน" "ตะโพนเรียกคน"
=>> ตามตำนานกล่าวไว้ว่า สมัยก่อนแรกเริ่มเดิมทีคณะลิเกหอมหวลนั้น ยังเป็นคณะลิเกเร่รอนไปตามสถานที่ต่าง ๆ เพื่อเปิดการแสดง แต่เนื่องจากชื่อเสียงยังไม่เป็นที่รู้จักจึงทำให้มีคนมาชมการแสดงในแต่ละรอบน้อยมาก เมื่อคณะลิเกหอมหวลเดินทางมาถึงจังหวัดอ่างทอง // สมัยนั้นชื่อเสียงของหลวงพ่อพักตร์นั้นเป็นที่รู้จักกันดี หัวหน้าคณะจึงเข้านมัสการและขออนุญาตท่านเพื่อจัดการแสดงลิเกที่วัดโบสถ์ ซึ่งท่านก็อนุญาตตามนั้น คณะลิเกหอมหวลจึงตั้งโรงลิเกขึ้นและเริ่มการแสดงในวันถัดมา // ปรากฎว่าผ่านไป 3 วันแล้วก็ยังมีผู้ชมมานั่งชมการแสดงในแต่ละคืนน้อยมาก จนหัวหน้าคณะเริ่มถอดใจและคิดจะย้ายโรงลิเกไปแสดงยังสถานที่อื่นต่อไปจึงได้ขึ้นมากราบเรียนความประสงค์ให้ท่านทราบ
// หลวงพ่อท่านมีความเมตตาจึงบอกหัวหน้าคณะว่าให้ไปนำตะโพนมาให้ท่านแล้ววันรุ่งค่อยมานำกลับคืนไป หัวหน้าคณะจึงนำตะโพนลูกเดียวของคณะไปให้ท่าน พอวันรุ่งก็ได้ไปรับกลับมาซึ่งหลวงพ่อท่านย้ำว่า ให้ออกแขก (การแสดงเริ่มต้นเพื่อเปิดโรง)
// ตั้งแต่เย็นแล้วบรรเลงดนตรีไปเรื่อย ๆ แล้วจะมีคนมาดูเอง หัวหน้าคณะเมื่อได้ยินดังนั้นก็ไม่เชื่อเท่าไหร่ เพราะปกติการออกแขกจะนิยมเริ่มแสดงตอนหัวค่ำถ้าเริ่มตอนเย็นแล้วใครจะมาดูเย็นวันนั้นด้วยความอยากรู้ว่าหลวงพ่อท่านนั้นจะเก่งเหมือนที่ใคร ๆ ว่ากันหรือเปล่า จึงสั่งให้คณะลิเกของตนเริ่มออกแขกตั้งแต่เย็นและให้บรรเลงดนตรีไปเรื่อย ๆ // จนถึงเวลาเริ่มแสดงจริงตอนหัวค่ำ ปรากฎว่าเย็นวันนั้นเสียงตะโพนที่บรรเลงนั้นได้ยินไปไกลหลายหมู่บ้าน เสียงนั้นดังนุ่มนวลและมีพลัง ทำให้ผู้คนที่ได้ยินเสียงมีความเคลืบเคลิ้มจนต้องเดินทางมาชมการแสดงในเย็นวันนั้น ประมาณว่านั่งไม่ติดแล้วยังจูงลูกจูงหลานมานั่งชมการแสดงลิเกอีกด้วย
// จากเมื่อเย็นคนมาไม่กี่คนพอหัวค่ำปรากฎว่ามีคนมานั่งชมการแสดงกันมากมาย เรียกได้ว่าตั้งแต่ตั้งคณะลิเกมาไม่เคยมีคนมานั่งชมมากแบบนี้มาก่อน ผ่านไปหนึ่งวันหัวหน้าคณะก็ยังไม่เชื่อว่าเกิดจากตะโพนที่หลวงพ่อท่านปลุกเสกให้ // พอวันที่สองก็สั่งให้คณะเริ่มการแสดงเหมือนวันแรกก็ปรากฎว่าไม่มีอะไรผิดเพี้ยนจากวันแรก และก็ลองอีกในวันที่สามผลก็ออกมาเช่นเดิมที่น่าแปลกใจก็คือขนาดฝนตกผู้ชมก็นั่งชมการแสดงแบบไม่ยอมกลับกันเลย // แม้ว่าฝนจะตกแต่ก็ยังนั่งทนเปียกกันอย่างนั้น พอรุ่งเช้าวันที่สี่หัวหน้าคณะพร้อมนักแสดงในคณะก็เลยพากันมากราบลานมัสการและขอบคุณหลวงพ่อและกราบเรียนให้ท่านทราบว่าในวันรุ่งคณะลิเกจะย้ายไปจัดแสดงยังสถานที่อื่นต่อไป // พอวันรุ่งทั้งคณะก็มากราบลาท่านด้วยความเคารพรัก หลังจากนั้นไม่นานชื่อเสียงของคณะลิเกหอมหวลนั้นก็เริ่มโด่งดังขึ้นเรื่อย ๆ จนคณะลิเกอื่น ๆ ในสมัยนั้นทราบข่าว ต่างก็พากันมาฝากตัวเป็นศิษย์และนำตะโพนของคณะมาให้หลวงพ่อท่านเสกกันมาก
// และปรากฎว่าทุกคณะก็มีชื่อเสียงโด่งดังเป็นที่รู้จักกันมากขึ้น จากเหตุนี้เองทำให้งานประจำปีของหลวงพ่อท่านตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันจะมีคณะลิเกไปตั้งโรงแสดงเพื่อเป็นการบูชาคุณหลวงพ่อท่าน
// และจากประสบการณ์ที่เลื่องลือเกี่ยวกับตะโพนของหลวงพ่อท่านทำให้คนพื้นที่แถววัด โดยเฉพาะเด็กหนุ่มจะมาคะยั้นคะยอให้ท่านจัดสร้างตะโพนขนาดเล็ก (บางคนเรียก "ลูกกลอง") ไว้ให้ลูกหลานได้ใช้กัน หลวงพ่อท่านจึงได้จัดสร้างตะโพนจากวัตถุดิบหลายชนิด อาทิ งาช้าง งากำจัด กระดูกสัตว์ เป็นต้น แล้วนำมาเจาะรูตรงกลางเพื่อบรรจุผง จากนั้นจึงนำโลหะมาดัดเป็นขดสำหรับใช้คล้องคอและปิดทับรูที่อุดผงไว้
// ท่านจัดสร้างครั้งละประมาณครึ่งบาตร ว่ากันว่าตลอดชีวิตของท่านจึงสร้างเพียงไม่กี่วาระ คนพื้นที่เล่าว่าเมื่อศิษย์หนุ่ม ๆ ทราบว่าหลวงพ่อจะลงตะโพนคืนไหน เพลของวันนั้นศิษย์หนุ่ม ๆ ก็จะนำสำรับอาหารมาถวายท่านอย่างมากมาย
// เพราะหวังว่าในวันรุ่งจะมารับสำรับอาหารคืนและหากมีวาสนาก็จะได้ตะโพนของหลวงพ่อในสำรับของตน พอย่ำรุ่งชาวบ้านก็จะได้ยินเสียงตะโพนดังกังวานไปแต่ไกล (เสียงนั้นจะไม่เหมือนเสียงกลอง) นั่นเป็นสัญญาณว่า "มารับได้แล้ว"
// บรรดาศิษย์ก็จะรีบมารับสำรับของตนเองคืน และเมื่อแต่ละคนได้รับสำรับกลับไปแล้วก็จะรีบนำไปล้างและหาดูว่ามีตะโพนในชุดสำรับหรือไม่ ถ้ามีก็ถือว่าเป็นวาสนา แล้วรีบนำไปอาราธานาติดตัวกันเลย // พุทธคุณของตะโพนนั้นเป็นที่ประจักษ์เรื่องมหาลาภ เมตตาและมหานิยมอย่างเอกอุ เลื่องลือมาแต่โบราณแต่ด้านอื่น ๆ ก็ครบเครื่องชายชาตรี
// ว่ากันว่าตะโพนของท่านนั้นเป็นเครื่องรางที่สร้างได้ยาก และจะหาคนสร้างได้ขลังแบบท่านเป็นไม่มีแล้ว ที่สำคัญไม่มีของอะไรแก้ได้
// เหตุเพราะท่านพิถีพิถันตั้งแต่การจัดสร้างและปลุกเสก ดังนั้นการมอบให้ศิษย์แต่ละคนนั้นท่านจะพิจารณาและมอบให้แก่ศิษย์ที่ยังไม่มีครอบครัวและเป็นคนที่มีความรับผิดชอบสูงเท่านั้นและที่น่าแปลกก็คือตะโพนแท้ ๆ ของท่านมักจะไม่มีการเปลี่ยนมือกันอย่างง่าย ๆ เรียกได้ว่า "ใช้กันแบบตกทอด" จากปู่ถึงพ่อจากพ่อถึงลูกกันเลย
// โดยเฉพาะคนพื้นที่นั้นจะหวงแหนกันมากเป็นพิเศษครับ เพราะของแท้มีน้อยมากแต่ความศรัทธาและความต้องการตะโพนแท้ ๆ ของท่านมีมากขึ้นเรื่อย ๆ ครับ สำหรับผู้ที่มีวาสนาได้ครอบครองตะโพนของท่านให้ว่าพระคาถานี้ทุกวันจะประสิทธิเมครับ นะโม (3 จบ) พุทธัง รัตตะนัง ธัมมัง รัตตะนัง สังฆัง รัตตะนัง //
ราคา :
13X,XXX
ร้าน :
พลศรีทองพระเครื่อง
ผู้เข้าชม
975 ครั้ง
ราคา
130000
สถานะ
ขายแล้ว
โดย
ponsrithong
ชื่อร้าน
พลศรีทองพระเครื่อง( บู เชียงราย )
ร้านค้า
ponsrithong.99wat.com
โทรศัพท์
0877124640
ไอดีไลน์
busoftware52
บัญชีธนาคารยืนยันตัวตน
282-2-248xx-x
เหรียญทรัพย์สิน หลวงปู่ขาว อนา
เหรียญพระอาจารย์ฝั้น อาจาโร รุ
พระกริ่ง หลวงพ่อพุธ ฐานิโย เนื
ลูกอมมณีนพรัตน์ หลวงปู่ดู่ วัด
พระหางหมาก หลวงพ่อฤาษีลิงดำ พิ
พระกริ่ง หลวงพ่อพุธ ฐานิโย เนื
เหรียญเสมาไตรมาส51 เนื้อทองแดง
เหรียญหลวงพ่อเกษม เขมโก หลัง ภ
เหรียญครบรอบ ๑๐๐ปีเกิดหลวงพ่อป
เก้าสิบเก้าวัด
ร้านพระเครื่อง
กระดานสนทนา
ลงพระฟรี
สมัครสมาชิก
ติดต่อทีมงาน
ลืมรหัสผ่าน
ผู้เข้าใช้งานล่าสุด
ว.ศิลป์สยาม
บ้านพระสมเด็จ
kaew กจ.
vanglanna
ponsrithong2
ponsrithong
ยุ้ย พลานุภาพ
เทพจิระ
ศักดา พระเครื่อง
somphop
TUI789
mosnarok
มนต์เมืองจันท์
TotoTato
เจริญสุข
พีพีพระสมเด็จ
natthanet
Leksoi8
อ้วนโนนสูง
ภูมิ IR
หมี คุณพระช่วย
Nithiporn
แมวดำ99
Erawan
Putput
tangmo
อาร์ตกำแพงเพชร
จิ๊บพุทธะมงคล
ศิษย์บูรพา
เปียโน
ผู้เข้าชมขณะนี้ 680 คน
เพิ่มข้อมูล
ตะโพน(กระดูกกลึงนิยม) หลวงพ่อภักตร์ วัดโบสถ์ อ่าวทอง
ส่งข้อความ
ชื่อพระเครื่อง
ตะโพน(กระดูกกลึงนิยม) หลวงพ่อภักตร์ วัดโบสถ์ อ่าวทอง
รายละเอียด
ตะโพน(กระดูกกลึงนิยม) หลวงพ่อภักตร์ วัดโบสถ์ อ่าวทอง
ตัวจริงเสียงจริง รับประกันความแท้ สุดยอดเมตตามหานิยมครับ ใช้เองมาแล้วสุดยอดจริงๆ เลยกล้าพูดได้เต็มปาก ขุนแผนบ้านกร่างที่ว่าแน่ๆยังต้องยอมครับ ลองเอาไปใช้ดูแล้วจะไม่ผิดหวังคครับ(แท้เอาหัวเป็นประกันครับ รับประกันความแท้ยินดีคืนเงินเต็มถ้าเก๊ครับ)
ลูกนี้เป็นงานกลึงนะครับหายากสุดๆในจำนวนตะโพนของลูกพ่อภักตร์ทั้งหมดครับ เพราะมีขนาดมาตรฐานและจำนวนน้อยมากและเก่าจริงๆ แต่หายากเลยไม่ค่อยเจอกันครับ ยิ่งถ้าเป็นงากลึงราคาไปไกลเลยครับ ถ้าน้ำไม่ท่วมไม่มีทางหลุดออกมาให้เห็นแน่ๆครับ คนพื้นที่หวงกันสุดๆครับ ตะโพน หลวงพ่อภักตร์ นับเป็นเครื่องรางที่ถือได้ว่าสุดยอด ด้านเมตตา มหานิยม =>>
สมัยหลวงพ่อยังไม่มรณะภาพ มีคณะลิเกไปเล่นที่วัด แล้วไม่มีคนดู หลวงพ่อสงสารเลยได้ลงอักขระไว้ที่กลองตะโพนคณะลิเกคณะ นั้นได้กลายเป็นคณะลิเกโด่งดังถึงทุกวันนี้ ถือว่าเป็นเครื่องรางที่ชาวอ่างทอง เสาะหากันมากแต่หายากเหลือเกินครับ
// (ข้อมูลที่เกี่ยวข้อง) ตะโพนนี่เป็นเครื่องดนตรีเอก จะขึ้นก่อนเครื่องดนตรีชนิดอื่น แม้จะเล็กกว่าเขาก็ตาม แต่เสียงและจังหวะดังเร่งเร้ากระตุ้นจิตใจให้คนสนใจให้คนดู
// เป็นเคล็ดอย่างหนึ่ง...ว่าดังเป็นหนึ่ง เป็นเมตตามหานิยม ดนตรีเองก็เป็นเมตตามหานิยมอยู่แล้ว มากกว่าทุกศาสตร์อีก เพราะฟังได้ทุกชาติ ศาสนา // หลวงพ่อพักตร์วัดโบถส์ เคยทำไว้ เป็นงา เขากวาง กระดูก ขนาดติดตัว หายากมากๆ ราคาแพง // พวกนักการเมือง ผู้ใหญ่แถวอ่างทอง วิเศษ จะมีตะโพนหลวงพ่อภักตร์ติดตัวแทบทั้งสิ้น
// เรื่องตะโพนของหลวงพ่อพักตร์ วัดโบสถ์ ท่านนั้นเป็นพระเกจิอาจารย์ร่วมสมัยเดียวกับหลวงพ่อนุ่ม วัดนางใน และหลวงพ่อชวน วัดยางมณี // ท่านเป็นพระที่ทรงอภิญญาจิตชั้นสูง เรียบง่ายและสมถะ วิชาเด็ดของท่านนอกจากเบี้ยแก้ที่มีพุทธคุณสูงเป็นที่ประจักษ์มานานแล้ว ยังมีอีกวิชาหนึ่งที่เรียกว่าโด่งดังไม่แพ้เบี้ยแก้ของท่านก็คือ "ตะโพน" บางทีก็เรียกว่า "กลองตะโพน" "ตะโพนเรียกคน"
=>> ตามตำนานกล่าวไว้ว่า สมัยก่อนแรกเริ่มเดิมทีคณะลิเกหอมหวลนั้น ยังเป็นคณะลิเกเร่รอนไปตามสถานที่ต่าง ๆ เพื่อเปิดการแสดง แต่เนื่องจากชื่อเสียงยังไม่เป็นที่รู้จักจึงทำให้มีคนมาชมการแสดงในแต่ละรอบน้อยมาก เมื่อคณะลิเกหอมหวลเดินทางมาถึงจังหวัดอ่างทอง // สมัยนั้นชื่อเสียงของหลวงพ่อพักตร์นั้นเป็นที่รู้จักกันดี หัวหน้าคณะจึงเข้านมัสการและขออนุญาตท่านเพื่อจัดการแสดงลิเกที่วัดโบสถ์ ซึ่งท่านก็อนุญาตตามนั้น คณะลิเกหอมหวลจึงตั้งโรงลิเกขึ้นและเริ่มการแสดงในวันถัดมา // ปรากฎว่าผ่านไป 3 วันแล้วก็ยังมีผู้ชมมานั่งชมการแสดงในแต่ละคืนน้อยมาก จนหัวหน้าคณะเริ่มถอดใจและคิดจะย้ายโรงลิเกไปแสดงยังสถานที่อื่นต่อไปจึงได้ขึ้นมากราบเรียนความประสงค์ให้ท่านทราบ
// หลวงพ่อท่านมีความเมตตาจึงบอกหัวหน้าคณะว่าให้ไปนำตะโพนมาให้ท่านแล้ววันรุ่งค่อยมานำกลับคืนไป หัวหน้าคณะจึงนำตะโพนลูกเดียวของคณะไปให้ท่าน พอวันรุ่งก็ได้ไปรับกลับมาซึ่งหลวงพ่อท่านย้ำว่า ให้ออกแขก (การแสดงเริ่มต้นเพื่อเปิดโรง)
// ตั้งแต่เย็นแล้วบรรเลงดนตรีไปเรื่อย ๆ แล้วจะมีคนมาดูเอง หัวหน้าคณะเมื่อได้ยินดังนั้นก็ไม่เชื่อเท่าไหร่ เพราะปกติการออกแขกจะนิยมเริ่มแสดงตอนหัวค่ำถ้าเริ่มตอนเย็นแล้วใครจะมาดูเย็นวันนั้นด้วยความอยากรู้ว่าหลวงพ่อท่านนั้นจะเก่งเหมือนที่ใคร ๆ ว่ากันหรือเปล่า จึงสั่งให้คณะลิเกของตนเริ่มออกแขกตั้งแต่เย็นและให้บรรเลงดนตรีไปเรื่อย ๆ // จนถึงเวลาเริ่มแสดงจริงตอนหัวค่ำ ปรากฎว่าเย็นวันนั้นเสียงตะโพนที่บรรเลงนั้นได้ยินไปไกลหลายหมู่บ้าน เสียงนั้นดังนุ่มนวลและมีพลัง ทำให้ผู้คนที่ได้ยินเสียงมีความเคลืบเคลิ้มจนต้องเดินทางมาชมการแสดงในเย็นวันนั้น ประมาณว่านั่งไม่ติดแล้วยังจูงลูกจูงหลานมานั่งชมการแสดงลิเกอีกด้วย
// จากเมื่อเย็นคนมาไม่กี่คนพอหัวค่ำปรากฎว่ามีคนมานั่งชมการแสดงกันมากมาย เรียกได้ว่าตั้งแต่ตั้งคณะลิเกมาไม่เคยมีคนมานั่งชมมากแบบนี้มาก่อน ผ่านไปหนึ่งวันหัวหน้าคณะก็ยังไม่เชื่อว่าเกิดจากตะโพนที่หลวงพ่อท่านปลุกเสกให้ // พอวันที่สองก็สั่งให้คณะเริ่มการแสดงเหมือนวันแรกก็ปรากฎว่าไม่มีอะไรผิดเพี้ยนจากวันแรก และก็ลองอีกในวันที่สามผลก็ออกมาเช่นเดิมที่น่าแปลกใจก็คือขนาดฝนตกผู้ชมก็นั่งชมการแสดงแบบไม่ยอมกลับกันเลย // แม้ว่าฝนจะตกแต่ก็ยังนั่งทนเปียกกันอย่างนั้น พอรุ่งเช้าวันที่สี่หัวหน้าคณะพร้อมนักแสดงในคณะก็เลยพากันมากราบลานมัสการและขอบคุณหลวงพ่อและกราบเรียนให้ท่านทราบว่าในวันรุ่งคณะลิเกจะย้ายไปจัดแสดงยังสถานที่อื่นต่อไป // พอวันรุ่งทั้งคณะก็มากราบลาท่านด้วยความเคารพรัก หลังจากนั้นไม่นานชื่อเสียงของคณะลิเกหอมหวลนั้นก็เริ่มโด่งดังขึ้นเรื่อย ๆ จนคณะลิเกอื่น ๆ ในสมัยนั้นทราบข่าว ต่างก็พากันมาฝากตัวเป็นศิษย์และนำตะโพนของคณะมาให้หลวงพ่อท่านเสกกันมาก
// และปรากฎว่าทุกคณะก็มีชื่อเสียงโด่งดังเป็นที่รู้จักกันมากขึ้น จากเหตุนี้เองทำให้งานประจำปีของหลวงพ่อท่านตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันจะมีคณะลิเกไปตั้งโรงแสดงเพื่อเป็นการบูชาคุณหลวงพ่อท่าน
// และจากประสบการณ์ที่เลื่องลือเกี่ยวกับตะโพนของหลวงพ่อท่านทำให้คนพื้นที่แถววัด โดยเฉพาะเด็กหนุ่มจะมาคะยั้นคะยอให้ท่านจัดสร้างตะโพนขนาดเล็ก (บางคนเรียก "ลูกกลอง") ไว้ให้ลูกหลานได้ใช้กัน หลวงพ่อท่านจึงได้จัดสร้างตะโพนจากวัตถุดิบหลายชนิด อาทิ งาช้าง งากำจัด กระดูกสัตว์ เป็นต้น แล้วนำมาเจาะรูตรงกลางเพื่อบรรจุผง จากนั้นจึงนำโลหะมาดัดเป็นขดสำหรับใช้คล้องคอและปิดทับรูที่อุดผงไว้
// ท่านจัดสร้างครั้งละประมาณครึ่งบาตร ว่ากันว่าตลอดชีวิตของท่านจึงสร้างเพียงไม่กี่วาระ คนพื้นที่เล่าว่าเมื่อศิษย์หนุ่ม ๆ ทราบว่าหลวงพ่อจะลงตะโพนคืนไหน เพลของวันนั้นศิษย์หนุ่ม ๆ ก็จะนำสำรับอาหารมาถวายท่านอย่างมากมาย
// เพราะหวังว่าในวันรุ่งจะมารับสำรับอาหารคืนและหากมีวาสนาก็จะได้ตะโพนของหลวงพ่อในสำรับของตน พอย่ำรุ่งชาวบ้านก็จะได้ยินเสียงตะโพนดังกังวานไปแต่ไกล (เสียงนั้นจะไม่เหมือนเสียงกลอง) นั่นเป็นสัญญาณว่า "มารับได้แล้ว"
// บรรดาศิษย์ก็จะรีบมารับสำรับของตนเองคืน และเมื่อแต่ละคนได้รับสำรับกลับไปแล้วก็จะรีบนำไปล้างและหาดูว่ามีตะโพนในชุดสำรับหรือไม่ ถ้ามีก็ถือว่าเป็นวาสนา แล้วรีบนำไปอาราธานาติดตัวกันเลย // พุทธคุณของตะโพนนั้นเป็นที่ประจักษ์เรื่องมหาลาภ เมตตาและมหานิยมอย่างเอกอุ เลื่องลือมาแต่โบราณแต่ด้านอื่น ๆ ก็ครบเครื่องชายชาตรี
// ว่ากันว่าตะโพนของท่านนั้นเป็นเครื่องรางที่สร้างได้ยาก และจะหาคนสร้างได้ขลังแบบท่านเป็นไม่มีแล้ว ที่สำคัญไม่มีของอะไรแก้ได้
// เหตุเพราะท่านพิถีพิถันตั้งแต่การจัดสร้างและปลุกเสก ดังนั้นการมอบให้ศิษย์แต่ละคนนั้นท่านจะพิจารณาและมอบให้แก่ศิษย์ที่ยังไม่มีครอบครัวและเป็นคนที่มีความรับผิดชอบสูงเท่านั้นและที่น่าแปลกก็คือตะโพนแท้ ๆ ของท่านมักจะไม่มีการเปลี่ยนมือกันอย่างง่าย ๆ เรียกได้ว่า "ใช้กันแบบตกทอด" จากปู่ถึงพ่อจากพ่อถึงลูกกันเลย
// โดยเฉพาะคนพื้นที่นั้นจะหวงแหนกันมากเป็นพิเศษครับ เพราะของแท้มีน้อยมากแต่ความศรัทธาและความต้องการตะโพนแท้ ๆ ของท่านมีมากขึ้นเรื่อย ๆ ครับ สำหรับผู้ที่มีวาสนาได้ครอบครองตะโพนของท่านให้ว่าพระคาถานี้ทุกวันจะประสิทธิเมครับ นะโม (3 จบ) พุทธัง รัตตะนัง ธัมมัง รัตตะนัง สังฆัง รัตตะนัง //
ราคา :
13X,XXX
ร้าน :
พลศรีทองพระเครื่อง
ราคาปัจจุบัน
130000
จำนวนผู้เข้าชม
988 ครั้ง
สถานะ
ขายแล้ว
โดย
ponsrithong
ชื่อร้าน
พลศรีทองพระเครื่อง( บู เชียงราย )
URL
http://www.ponsrithong.99wat.com
เบอร์โทรศัพท์
0877124640
ID LINE
busoftware52
บัญชีธนาคารยืนยันตัวตน
1. ธนาคารไทยพาณิชย์ / 282-2-248xx-x
กำลังโหลดข้อมูล
หน้าแรกลงพระฟรี